.
อิหร่านขู่ว่าจะตอบโต้การโจมตีทางอากาศที่อิสราเอลเป็นผู้ต้องสงสัย ต่อสถานกงสุลอิหร่านในเมืองหลวงของซีเรียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์การปฏิวัติเสียชีวิต 7 นาย รวมถึงผู้บัญชาการอาวุโส 2 นาย ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศศัตรูคู่อาฆาตในตะวันออกกลางที่คุกรุ่นอยู่แล้วจากสงครามอิสราเอล-ฮะมาสในฉนวนกาซ่า
.
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กลายเป็นประเทศอาหรับที่โดดเด่นที่สุดที่สร้างความสัมพันธ์ทางการฑูตกับอิสราเอลในรอบ 30 ปี ภายใต้ข้อตกลงที่นำโดยสหรัฐในปี 2020 แม้ว่ารัฐบาลอาบูดาบีจะมีความสัมพันธ์ทางการทูตและเชิงพาณิชย์ตามปกติกับรัฐบาลเตหะรานก็ตาม
.
อลิเรซา ตังซิรี ผู้บัญชาการกองทัพเรือหน่วยพิทักษ์การปฏิวัติ กล่าวว่า “เรารู้ว่าไซออนนิสต์ (อิสราเอล) ไม่ได้ถูกพาไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ แต่เพื่องานด้านความปลอดภัยและการทหาร นี่เป็นภัยคุกคามต่อเราและไม่ควรเกิดขึ้น” และเสริมว่าอ่าวอาหรับ รวมถึงอ่าวโอมานนอกช่องแคบฮอร์มุซซึ่งเป็นเส้นทางผ่านของน้ำมันทางทะเลส่วนใหญ่ของโลก ไม่ใช่ที่สำหรับชาวอิสราเอล โดยไม่ได้ระบุว่าอิหร่านกำลังพิจารณาดำเนินการใดๆ ในภูมิภาค เกี่ยวกับการปรากฏตัวของอิสราเอลหรือไม่
.
ตังซิรี กล่าวไม่กี่วันหลังจากที่ปรึกษาอาวุโสของผู้นำสูงสุดอิหร่านเตือนว่าสถานทูตอิสราเอลไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ว่า “เราจะไม่ถูกโจมตีโดยไม่โจมตีกลับ แต่เราก็ยังไม่รีบตอบโต้เช่นกัน”
.
ทั้งนี้ การที่ยูเออีปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอลให้เป็นปกติ ได้ปูทางให้รัฐอาหรับอื่นๆ หลายแห่งปฏิบัติตาม โดยทำลายข้อห้ามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการทูตหากไม่มีการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์
ที่มา: MEMO