เกิดอะไรในโลก : ศึกเลือกตั้งมาเลเซียครั้งที่ 15 จุดพลิกผันกับการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน
หลังจากพรรคพันธมิตรฝ่ายค้าน
ปากาตัน ฮาราปัน
(
Pakatan Harapan - PH)
หรือ แนวร่วมแห่งความหวัง
ชนะการเลือกตั้งเมื่อปี
2018
ซึ่งทำให้พรรคพันธมิตร แนวร่วมแห่งชาติ
Barisan Nasional (BN)
ที่นำโดยพรรคสหมลายูแห่งชาติ “อัมโน”
(United Malays National Organization - UMNO )
ต้องเสียการผูกขาดจัดตั้งรัฐบาลมายาวนานกว่า
60
ปี จากปัญหาคอร์รัปชันในกองทุนฉาว
1MDB
ทว่าการเป็นรัฐบาลของ
PH
ก็ต้องล่มสลายในเวลาอันสั้น เมื่อ มหาเธร์ มูฮัมหมัด
(Mahathir Mohamad)
ประกาศลาออกหลังเป็นนายกรัฐมนตรีได้เพียง
22
เดือน สาเหตุมาจากความขัดแย้งภายในจนนำมาสู่ปรากฏการณ์ย้ายฝั่ง ที่พา มูห์ยิดดิน ยัสซิน
(Muhyiddin Yassin)
จากพรรค
Bersatu
ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน
แต่แค่
17
เดือนต่อมา พรรค
UMNO
ก็ประกาศถอนตัวจากการสนับสนุนมูห์ยิดดิน ทำให้ อิสมาอิล ซ็อบรี ยะกู๊บ
(Ismail Sabri)
จาก
UMNO
ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่
3
นับแต่การเลือกตั้งในปี
2018
การกลับมาจัดตั้งรัฐบาลของ
UMNO
ครั้งนี้เป็นผลจากการผนึกกำลังกับกลุ่ม
Perikatan Nasional (PN)
และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม
Gabungan Parti Sarawak (GPS)
อย่างไรก็ดี การกลับมาสู่อำนาจของ
UMNO
ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากแต่มีคำถามมากมายถึงความชอบธรรมในการเป็นรัฐบาล ยิ่งไปกว่านั้น เสถียรภาพของรัฐบาลก็ง่อนแง่นเต็มที แต่ที่ประคองการทำงานมาได้เป็นเพราะ
MOU
ที่ทำกับกลุ่มพันธมิตรฝ่ายค้าน
PH
ในการสร้างความร่วมมือ
2
ฝ่าย เพื่อให้การเมืองภายในประเทศมีเสถียรภาพ หลังจากที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลก่อนหน้ามาถึง
2
ชุด ซึ่งข้อตกลงสำคัญที่ทำไว้ใน
MOU
คือจะไม่ประกาศยุบสภาก่อนวันที่
31
กรกฎาคม
2022
ดังนั้นการเลือกตั้งจะไม่เกิดขึ้นอย่างน้อยจนกว่าจะถึงเดือนสิงหาคม
2022
อีกทั้ง
PH
จะสนับสนุนหรืองดออกเสียงสนับสนุนพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีที่กำลังจะผ่านสภาในตอนนั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐบาลของ อิสมาอิล ซ็อบรี ยะกู๊บ เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากแบบปริ่มน้ำ ใน
MOU
ยังมีข้อตกลงที่จะช่วยกันขับเคลื่อนกฎหมายต่อต้านการย้ายพรรค
(Anti-Party Hopping Bill)
และให้ลดอายุของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเป็น
18
ปี หรือที่รู้จักกันในชื่อ
UNDI-18
แต่พอ พ
.
ร
.
บ
.
งบประมาณ ผ่านสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีอิสมาอิล ซ็อบรี ยะกู๊บ ได้ประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อป้องกันความแตกแยกในคณะรัฐบาลหลังจากที่รัฐมนตรี
12
คน จาก
PN
ได้ยื่นหนังสือถึงกษัตริย์เพื่อคัดค้านการจัดการเลือกตั้งในปีนี้ อีกทั้งรัฐบาลยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐมนตรีอื่นอีกในหลายประเด็น เกี่ยวกับนโยบายและการตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ยังไม่นับรวมถึงแรงกดดันจาก ซาฮิด ฮามิดิ
(Zahid Hamidi)
ประธานพรรค
UMNO
ที่มีต่ออิสมาอิล อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่รัฐบาลประกาศให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนก็ถูกวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม เพราะเป็นช่วงฤดูมรสุมที่จะมาพร้อมกับปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่
การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่
15
หรือที่เรียกกันว่า
GE15
ซึ่งจะมีขึ้นวันที่
19
พฤศจิกายนนี้
*
แม้เป็นจุดเริ่มต้นฉากใหม่ในหน้าการเมืองมาเลเซีย หากแต่เป็นการเริ่มต้นที่จะมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการเมืองในหลายมิติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะการเปลี่ยนไปของ ‘
Rules of the Game’
ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางการทำงานและการตัดสินใจของพรรคการเมือง การจับขั้วพันธมิตรทางการเมือง และวิธีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งหลังจากนี้
ผิดกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือกับความคึกคักมีชีวิตชีวาในการเลือกตั้งครั้งที่
14 (GE14)
ในปี
2
018
ที่เรียกกันว่า ‘มารดาแห่งการเลือกตั้งทั้งปวง’ ที่ถนนหนทางในกัวลาลัมเปอร์และเมืองใหญ่ๆ สะพรั่งพรึบพรับไปด้วยโปสเตอร์หาเสียง นักกิจกรรมการเมืองทุกฝ่ายออกรณรงค์ตามที่สาธารณะ สร้างทั้งสีสันและความหวาดเสียวให้ผู้สนับสนุนขั้วการเมืองสองกลุ่ม ที่โรมรันพันตูกันอย่างสุดใจขาดดิ้น
แต่นี่คือ
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ส่งผลต่อการเลือกตั้ง และทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีความร้อนแรงและยากจะคาดเดา
📌 การขับเคี่ยวศึกระหว่าง 3 ฝ่าย
ในสนามการเลือกตั้งมาเลเซีย พรรคหรือกลุ่มพันธมิตรที่ได้ที่นั่งในสภาเกินครึ่งจะได้จัดตั้งรัฐบาล แม้ไม่ชนะ
Popular Vote
ก็ตาม ซึ่งภาพการเลือกตั้งของมาเลเซียนับตั้งแต่การเลือกตั้งปี
2008
เป็นต้นมา เราจะเห็นการแข่งขันเพียงระหว่าง
2
กลุ่มใหญ่ คือ
BN
กับกลุ่มพันธมิตรฝ่ายค้าน
Pakatan Harapan
แต่การเลือกตั้งในครั้งนี้จะกลายเป็นการแข่งขันระหว่างกลุ่มพันธมิตร
3
ฝ่ายใหญ่ แม้ใน
GE15
ยังมีพรรคการเมืองอื่นและกลุ่มอิสระอีกเป็นจำนวนมาก แต่รัฐบาลหลังการเลือกตั้งคาดว่าน่าจะมาจาก
3
กลุ่มพันธมิตรที่ต่างมีลุ้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้แก่
UMNO Baru/Barisan Nasional (BN)
ที่มี อะหมัด ซาฮิด ฮามิดิ จาก
UMNO
เป็นผู้นำ กลุ่มพันธมิตร
PN (
ประกอบด้วยพรรค
Bersatu
และพรรค
PAS)
ที่มี มูห์ยิดดิน ยัสซิน เป็นหัวหน้า และกลุ่ม
PH
นำโดย อันวาร์ อิบรอฮิม
(Anwar Ibrahim)
อย่างไรก็ดี หาก
1
ใน
3
กลุ่มพันธมิตรโดยเฉพาะ
BN
ไม่สามารถเอาชนะในศึกครั้งนี้ได้ หรือไม่มีฝ่ายใดสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ ก็หมายความว่า
GE15
ไม่ได้ทำให้ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่มีมานับแต่ปี
2018
หมดสิ้นไป หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ตัวแปรสำคัญที่น่าจับตาและมองข้ามไม่ได้คือกลุ่ม
GPS
ที่มีฐานที่มั่นอยู่ในซาราวัก ซึ่ง
GPS
มีแนวโน้มว่าจะสนับสนุน
BN
และ
PN
แม้พรรคอาจจะไม่กลายเป็น
Kingmaker
แต่ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่จะสร้างเสถียรภาพให้แก่รัฐบาลชุดหลังการเลือกตั้งอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้
📌 การเลือกตั้งที่ไม่พร้อมกันทั้งประเทศ
โดยทั่วไปแล้วรัฐต่างๆ ในมาเลเซียจะจัดการเลือกตั้งพร้อมกับการเลือกตั้งระดับชาติ แต่สำหรับ
GE15
การเลือกตั้งระดับรัฐจะไม่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ แม้ว่าอิสมาอิล นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นจะขอให้ทุกรัฐจัดการเลือกตั้งพร้อมกับการเลือกตั้งระดับชาติเพื่อประหยัดงบประมาณ โดยยกเว้นเพียงที่ซาบาห์ มะละกา ยะโฮร์ และซาราวัก เพราะเพิ่งมีการเลือกตั้งไปในช่วง
2
ปีที่ผ่านมา ทว่า
3
รัฐที่เป็นฐานที่มั่นของพรรค
PAS
คือ เกดะห์ กลันตัน และเตรังกานู และในอีก
3
รัฐที่เป็นของ
PH
คือ สลังงอร์ ปีนัง และเนเกรี เซมบิลัน ต่างประกาศยืนยันที่จะไม่จัดการเลือกตั้งในปีนี้ แต่จะจัดการเลือกตั้งในปีหน้า
(2023)
เหตุที่ยังไม่จัดการเลือกตั้งนอกจากเป็นช่วงเวลาที่อาจเกิดน้ำท่วมแล้ว การจัดการเลือกตั้งในปีหน้ายังเป็นโอกาสให้รัฐบาลของรัฐเหล่านี้ใช้ผลการเลือกตั้งใน
GE15
เป็นแนวทางวางยุทธศาสตร์และแผนการหาเสียงเลือกตั้งในปีหน้า ตลอดจนประวิงเวลาเพื่อเรียนรู้และพร้อมรับมือกับทิศทางและพฤติกรรมทางการเมืองของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะจากกลุ่มเยาวชนที่เพิ่งได้ใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรก
📌 ศึกชิงพื้นที่ร้อนระอุ
การเลือกตั้งครั้งนี้นับว่าดุเดือดมากที่สุด เพราะเป็นครั้งแรกที่ในแต่ละเขตมีผู้สมัครหลายคนจากหลายพรรคลงแข่งขันทุกที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ทำให้จำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งมีถึง
945
คน สำหรับ
GE15
นี้มีที่นั่งในสภาทั้งหมด
222
ที่นั่ง
166
ที่นั่งอยู่ใน
Peninsular Malaysia
หากฝ่ายใดได้
112
ที่นั่ง จะกลายเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล
นอกจากนี้ยังมีการเลือกตั้งระดับรัฐในเปรัก ปะหัง และปะลิส ซึ่งมีที่นั่งรวมกันถึง
116
ที่นั่ง และรัฐทั้งสามยังเป็นฐานที่มั่นของ
UMNO
อีกด้วย ในศึก
GE15
ควรจะต้องจับตาการแข่งขันที่ดุเดือดใน
22
ที่นั่ง ที่แต่ละพรรคส่งผู้สมัครเด่นๆ ลง โดยเฉพาะที่ตัมบุนในเปรัก เป็นการชิงเก้าอี้ระหว่าง อันวาร์ อิบรอฮิม ผู้นำ
PH
กับ ไฟซอล อาซูมู
(Faizal Azumu)
จาก
PN
และเป็นรองประธานพรรค
Bersatu
พ่วงตำแหน่ง ส
.
ส
.
เดิมของเขตนี้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีผู้แข่งขันสำคัญอย่าง อามินุดดิน ฮานาเฟียห์
(Aminuddin Hanafiah)
จาก
UMNO
และ อับดุล ราฮิม ตาฮีร์
(Abdul Rahim Tahir)
จากกลุ่มพันธมิตร
Gerakan Tanah Air (GTA)*
ที่มีมหาเธร์เป็นประธานส่งมาท้าชิง
ถ้าอันวาร์คว้าเก้าอี้นี้ไม่ได้ก็ถือเป็นการปิดตายประตูไปสู่นายกรัฐมนตรี แม้ว่า
PH
จะชนะการเลือกตั้ง หรือแม้แต่ตัวของ ซาฮิด ฮามิดิ เองก็ต้องแย่งชิงเก้าอี้กับผู้สมัครหลายพรรค แม้ซาฮิดจะชนะการเลือกตั้งใน
Bagan Datuk
ในเปรักมาถึง
6
สมัยติดต่อกัน แต่ในศึกครั้งนี้ก็ต้องต่อสู้กับผู้สมัครจากทั้ง
PH
และ
PN
ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออดีตรองนายกรัฐมนตรี ชามซุล อิสกันดาร์ โมฮัด อาคิน
(Shamsul Iskandar Md. Akin)
จาก
PH
ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘
Giant Killer’
นอกจากนี้ การแข่งขันระหว่างพรรคที่เคยจับมือกันมาอย่าง
PN
และ
GPS
ก็เกิดขึ้น แม้
PN
เคยตกลงว่าจะไม่แข่งกับ
GPS
ในศึกชิงเก้าอี้ที่ซาราวักก็ตาม หากท้ายที่สุดก็ได้ส่งผู้สมัครลงชิงเก้าอี้ในซาราวักด้วย
📌 กฎหมายต่อต้านการย้ายพรรค
ก่อนประกาศการเลือกตั้งครั้งใหม่เพียง
5
วัน สภาของมาเลเซียมีมติผ่านกฎหมายต่อต้านการย้ายพรรคการเมือง ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ หาก ส
.
ส
.
ที่ได้รับการเลือกตั้งในฐานะตัวแทนของพรรคใดทำการย้ายพรรค ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพของ ส
.
ส
.
ยกเว้นกรณีที่ถูกขับออกจากพรรค กฎหมายนี้ยังบังคับใช้กับ ส
.
ส
.
อิสระที่ได้ตกลงเข้าร่วมกับพรรคพันธมิตรหรือพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ กฎหมายต่อต้านการย้ายพรรคจะบังคับใช้เป็นครั้งแรกใน
GE15
ซึ่งการขับเคลื่อนกฎหมายดังกล่าวเป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์ย้ายฝั่ง ที่นำมาสู่การล่มสลายของรัฐบาล
PH
อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์กันว่ากฎหมายฉบับนี้ก็ยังมีช่องโหว่ที่อาจถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางการเมืองได้ เพราะ ส
.
ส
.
จะไม่สิ้นสุดสมาชิกภาพ ถ้าพรรคเป็นคนขับ ส
.
ส
.
ออกมา เงื่อนไขนี้เป็นโอกาสให้ ส
.
ส
.
คนนั้นมีสิทธิเข้าร่วมกับพรรคใดก็ได้
ดังนั้นอาจมี ส
.
ส
.
ที่จงใจแตกแถวหรือไม่เชื่อฟังพรรคเพื่อหวังให้พรรคเป็นผู้ขับตนออกไป เพื่อจะได้มีอิสระที่จะเลือกเข้ากับพรรคใดพรรคหนึ่ง ในทางกลับกัน ช่องโหว่นี้อาจถูกนำมาใช้ประโยชน์โดยพรรคการเมืองในการบังคับ ส
.
ส
.
ให้เห็นด้วยกับมติพรรค ซึ่งอาจจะสวนทางกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ของ ส
.
ส
.
คนดังกล่าว ตลอดจนในกรณีที่พรรคการเมืองอย่าง
Democratic Action Party (DAP)
แก้ไขกฎพรรคว่าหาก ส
.
ส
.
ของพรรคไม่ปฏิบัติตามมติคณะกรรมการบริหารพรรค ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพจากพรรค เช่นนั้นแล้วถ้า ส
.
ส
.
ยังอยากอยู่ในตำแหน่งก็จะเดินตามมติพรรคโดยเฉพาะ ส
.
ส
.
ของฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเราคงต้องจับตาดูในบททดสอบจริงว่ากฎหมายนี้จะสร้างเสถียรภาพให้กับรัฐบาลใหม่ได้อย่างที่หวังไว้หรือไม่
📌 พลังเยาวชน
GE15
จะมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งถึง
21.17
ล้านคน มากกว่า
GE14
ที่มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
14.9
ล้านคน เป็นผลมาจากการใช้
Automatic Voters Registration (AVR)
และการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เยาวชนอายุ
18
ปีขึ้นไป ออกเสียงเลือกตั้งได้ ซึ่งจำนวนผู้ที่จะใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรกมีถึง
5.5
ล้านคน กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่
15
ธันวาคม
2021
และจะใช้กับการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งแรก ทำให้เยาวชนกลุ่มนี้กลายเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่จะมีผลต่อคะแนนเลือกตั้ง เพราะคนกลุ่มนี้ไม่มี
Party Royalties
ผิดกับคนรุ่นเก่า ทำให้ยากต่อการคาดเดา สิ่งที่เยาวชนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญและคาดหวัง ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงคะแนนคือสวัสดิการจากรัฐ ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น และปัญหาการว่างงาน
มีการคาดการณ์ว่าคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มเป็นประโยชน์ต่อ
PN
และช่วยให้
PN
ต่อสู้กับ
PH
และ
BN
ได้อย่างพอสูสี นอกจากนี้วิธีการเข้าถึงกลุ่มคน
Gen Z
มีผลต่อรูปแบบการหาเสียงอีกด้วย ทำให้
Social Media
กลายเป็นช่องทางสำคัญที่ใช้ในการเข้าถึง ไม่เว้นแม้แต่มูห์ยิดดินที่หันมาใช้
TikTok
ในการหาเสียง
อย่างไรก็ตาม
ฝันหวานที่จะเห็นกลุ่มเยาวชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีอายุ
18
ปีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ตบเท้าออกมาแสดงพลังบริสุทธิ์เป็นส่วนหนึ่งในวาระปฏิรูปการเมืองด้วยการลงคะแนนให้แนวร่วม
PH
ต้องสะดุด กับเมื่อผลการสำรวจของ
Merdeka Center
พบว่าเยาวชนกลุ่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียงในกลุ่มอายุ
30
ปีลงไป ที่เป็นกลุ่มที่แสดงความตั้งใจจะไปลงคะแนนเลือกตั้งน้อยที่สุดในทุกกลุ่มอายุ คือมีเพียง
68
เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่คนรุ่นพ่อแม่ของพวกเขา คือผู้มีสิทธิออกเสียงอายุ
50
ปีขึ้นไปเป็นกลุ่มที่ตั้งใจไปลงคะแนนเสียงมากที่สุด คือ
80
เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มอายุระหว่าง
31–50
ปี มี
74
เปอร์เซ็นต์
ความคิดว่าพลังการเมืองบริสุทธิ์ของเยาวชนเป็นเรื่องที่ได้มาฟรีๆ อาจเป็นความคิดที่ผิด ซึ่งถ้าย้อนกลับไปพิจารณาประวัติศาสตร์อันใกล้เมื่อ
24
ปีที่แล้ว ก็อาจเห็นบริบทการเมืองมาเลเซียมากขึ้น กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ของมาเลเซียเกิดขึ้นเมื่อประเทศเริ่มขยับจากการผูกขาดอำนาจของพรรคการเมืองมาเป็นวาระปฏิรูปของประชาชนราวปี
1998
เมื่อขบวนการปฏิรูปการเมือง
(Reformasi)
ในมาเลเซียเริ่มต้นขึ้น
Reformasi
ใช้เวลากว่า
20
ปีในการเติบโต จนบรรลุความสำเร็จสูงสุดในการเลือกตั้งครั้งที่
14
เมื่อประชาชนพร้อมใจลงคะแนนให้วาระปฏิรูปที่มีแนวร่วม
PH
เป็นตัวแทน
คนหนุ่มสาวมาเลเซียที่โตมากับขบวนการการปฏิรูปการเมืองเมื่อ
24
ปีที่แล้วคือคนอายุ
40–50
ปีของวันนี้ ในขณะที่เด็กหนุ่มสาววัย
18-20
ปีในปัจจุบันยังลอยละล่องอยู่ที่ไหนสักแห่ง เมื่อโอกาสในการแสดงสิทธิทางการเมืองมาถึงจึงไม่แปลกที่คนอายุ
40–50
ปีจะยินดีกระโดดออกมาเป็นด่านหน้า ในขณะที่คนหนุ่มสาวรุ่นลูกยัง ‘เป็นงง’ เพราะระดับความเข้าใจทางการเมืองแทบเป็นศูนย์เมื่อเทียบกับคนรุ่น
Reformasi
การสำรวจความเห็นของกลุ่มเยาวชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง อายุระหว่าง
18-30
ปี จำนวน
1,084
คน ของหนังสือพิมพ์ออนไลน์
Malaysiakini.com
พบว่า เยาวชน
93
เปอร์เซ็นต์มีความตั้งใจจะออกไปลงคะแนนเลือกตั้ง แต่เมื่อถามถึงความรู้เบื้องต้นทางการเมือง เช่น ชื่อของรัฐมนตรีหรือนักการเมืองที่ชอบหรือไม่ชอบ เพราะเหตุใด หรือความรู้เรื่องกระบวนการเลือกตั้ง พบว่าเยาวชนส่วนใหญ่ไม่สามารถตอบคำถามได้ และแทบไม่ต้องหวังว่าระบบการศึกษามาเลเซียจะเปิดกว้างในการให้ความรู้ทางการเมือง พรรคการเมืองและสถาบันประชาธิปไตยต่างๆ เองก็ลืมให้ความรู้แก่พวกเขามากพอที่จะสร้างความมั่นใจพอในการแสดงความเห็นทางการเมืองได้
ถ้า
GE14
เป็น ‘มารดาแห่งการเลือกตั้งทั้งปวง’
GE15
ก็น่าจะเป็น ‘บิดาแห่งความไม่แน่นอนทั้งปวง’ บรรยากาศของความไม่แน่นอนอาจมาทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง จากปัจจัยการแข่งขันสามขั้ว ความไม่แน่ใจของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง และการต่อรองเชิงอำนาจในภาวะที่ไม่มีขั้วการเมืองใดมีอำนาจสูงสุดที่จะตามมา อาจเป็นสิ่งที่เราจะได้เห็นในมาเลเซียจนกว่าคนรุ่นใหม่มีความพร้อมทางความคิดที่จะรับไม้แบกอนาคตของประเทศต่อไป
📌 ความเข้าถึงชาติพันธุ์
ในภาพรวมของ
GE15
แม้
Rules of Game
จะเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ไม่อาจมองข้ามลักษณะโครงสร้างทางการเมืองของประเทศที่ผูกติดกับเรื่องของชาติพันธุ์ไปได้ โดยคนชนบทส่วนใหญ่แล้วยังคงมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนผู้สมัครที่ให้ความสำคัญกับสิทธิของชาวมลายู การต่อสู้และรักษาความเป็นอิสลาม ตลอดจนดำรงไว้และความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ ประเด็นเหล่านี้ยังคงมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจลงคะแนนของคนกลุ่มดังกล่าว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเลือกพรรค
UMNO
และ
PAS
ในด้านของกลุ่มคนเมืองนั้น แม้กลุ่ม
PH
จะเคยได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นใน
GE14
หากแต่ในครั้งนี้ก็ต้องแข่งขันกับกลุ่มพันธมิตรอื่นอย่าง
PN, GTA
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
BN
อีกทั้งยังต้องหากลยุทธ์ในการหาเสียงที่ดึงดูดต่อชาวมลายู ชาวภูมิบุตร และคนในพื้นที่ชนบท โดยเฉพาะในซาราวักและซาบาห์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คิดเป็น
65%
ของประชากร ซึ่งคนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับปัญหาปากท้องมากกว่าปัญหาคอร์รัปชันและธรรมาภิบาลที่
PH
ใช้ในการรณรงค์หาเสียง
ที่มา
:
thestandard : https://thestandard.co/2022-malaysian-general-election/?fbclid=IwAR2quzqhsQenNBeycWPvgDkTLQ8uv2j7fnvgOWeIe3GFVHPx1Z3bFpnyXXw
the101world : https://www.the101.world/malaysia-election-ge15/