White Channel

เกิดอะไรในโลก : ทำไมกลุ่มพรรคขวากลางได้เสียงสนับสนุนและที่นั่งเพิ่มมากที่สุด ในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปรอบล่าสุด

จากผลการคาดการณ์ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าพรรคประชาชนยุโรปหรืออีพีพี (European People’s Party-EPP) ซึ่งเป็นพรรคขวากลาง สามารถคว้าเสียงส่วนมากในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปได้

ด้านนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส ประกาศยุบสภาและประกาศจัดการเลือกตั้งอย่างกะทันหันในวันที่ 30 มิ.ย. นี้ การประกาศของเขาเกิดขึ้นในค่ำคืนแห่งความดราม่า หลังเห็นว่าฝ่ายขวากลางกำลังกระชับอำนาจมากขึ้นจากผลการเลือกตั้งรัฐสภายุโรป

มีการคาดการณ์ว่าพรรคขวาจัดในยุโรปอาจได้เก้าอี้เพิ่มขึ้น หลังจากพรรคเสรีภาพออสเตรีย (Austria’s Freedom Party) ได้ชัยชนะมาอย่างหวุดหวิดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนพรรคชุมนุมแห่งชาติ (National Rally) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดของฝรั่งเศส เป็นพรรคที่ประสบความสำเร็จในการเลือกครั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปมากที่สุด

พรรคชุมนุมแห่งชาตินำโดยนางมารีน เลอ เปน และ จอร์แดน บาร์เดลลา ชนะด้วยคะแนนเสียงมากกว่า 31% ถือว่ามากกว่าคะแนนที่พรรคเรเนซองส์ของนายมาครง ซึ่งเป็นพรรคสายกลางที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองค่อนไปทางเสรีนิยม เกือบ 2 เท่า แต่ในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปที่กินเวลา 4 วันติดต่อกันนั้น โดยภาพรวมพบว่าคะแนนเสียงส่วนใหญ่ตกอยู่ที่พรรคที่มีอุดมการณ์ขวากลาง

พวกเขารักษาเสียงข้างมากในรัฐสภายุโรปไว้ได้ อันเนื่องมาจากชัยชนะในเยอรมนี กรีซ โปแลนด์ และสเปน รวมถึงคะแนนโหวตที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในฮังการี

นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปจากพรรคขวากลาง กล่าวว่า“ฝ่ายกลางยังตรึงเก้าอี้ไว้ได้ แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าฝ่ายสุดโต่งจากซ้ายและขวากำลังได้รับความสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน” โดยขณะนี้เธอกำลังจะได้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2

นอกจากนี้ ยังพบว่าฝ่ายขวาจัดประสบความสำเร็จน้อยกว่าที่คาดในเนเธอร์แลนด์ หลังจากพรรคการเมืองของนายเกียร์ต วิลเดอร์ส นายกรัฐมนตรีผู้มีจุดยืนต่อต้านอิสลามและสนับสนุนประชานิยม ได้คะแนนเป็นอันดับสอง ขณะที่ในเบลเยียมพบว่าพรรคที่มีแนวคิดแบ่งแยกดินแดนและเป็นประชานิยมฝ่ายขวาอย่าง วลามส์ เบลัง (Vlaams Belang) พ่ายแพ้ให้กับพรรคพันธมิตรเฟลมิชใหม่ (New-Flemish Alliance) ซึ่งมีอุดมการณ์อนุรักษนิยมและชาตินิยมเฟลมิช

ทั้งนี้ คาดว่ามีผู้ออกมาลงคะแนนเสียงประมาณ 51% ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 360 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าปี 2019 เล็กน้อย โดยทุก ๆ 5 ปี ประชาชนในประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปจะต้องเลือกสมาชิกรัฐสภายุโรปจำนวน 720 คน

ทำไมฝ่ายขวาจัด ได้เก้าอี้ในรัฐสภายุโรปมากขึ้น

ในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปครั้งนี้ กลุ่มขวาจัดและชาตินิยมฝ่ายขวาได้คะแนนเสียงเพิ่มมากขึ้นในหลายพื้นที่ของสหภาพยุโรป เนื่องจากผู้ลงคะแนนเสียงมีความกังวลเรื่องผู้อพยพ อัตราเงินเฟ้อ และค่าใช้จ่ายในการปฏิรูปด้านสิ่งแวดล้อม แต่ฝ่ายขวาจัดจะมีอิทธิพลต่อนโยบายของสหภาพยุโรปในอนาคตหรือไม่นั้น ยังคงไม่ชัดเจน

เนื่องจากเก้าอี้สมาชิกรัฐสภายุโรปส่วนใหญ่ยังเป็นของกลุ่มพรรคการเมืองขวากลาง ดังนั้น การอภิปราย แก้ไข หรือปัดตกกฎหมายใด ๆ จึงยังคงอยู่ในมือเสียงข้างมากจากพรรคขวากลางเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้ หากฝ่ายขวาจัดต้องการมีอิทธิพลต่อนโยบายของสหภาพยุโรป พวกเขาต้องรวมตัวกันเพื่อให้มีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น และนั่นคือความท้าทาย เพราะฝ่ายขวาจัดแต่ละกลุ่มจัดลำดับความสำคัญประเด็นระดับชาติแตกต่างกัน และในบางเรื่องก็มีจุดยืนที่แตกต่างกันมาก อย่างเช่นจะสนับสนุนยูเครนมากแค่ไหนในการต่อต้านรัสเซีย

อีกประเด็นหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของพลเมืองสหภาพยุโรปทุกคน และฝ่ายขวาจัดก็มีอิทธิพลในเรื่องนี้อยู่แล้ว คือการปฏิรูปด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นความทะเยอทะยานที่ทางสหภาพยุโรปให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ แม้มันต้องใช้งบประมาณหลายล้านล้านยูโรก็ตาม ด้วยเป้าหมายต้องการเป็นผู้นำระดับโลกในการดำเนินการเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ

ทว่าพรรคกรีนซึ่งมีแนวคิดสนับสนุนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม กลับได้เก้าอี้น้อยลงถึง 20 ที่นั่งในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปครั้งล่าสุด เนื่องจากผู้เสียภาษีในสหภาพยุโรปที่ตอนนี้ต้องเผชิญกับวิกฤตค่าครองชีพ กำลังรู้สึกอึดอัด หรือบางคนอาจถึงขั้นต่อต้าน นโยบายปฏิรูปด้านสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ประชาชนอยู่ภายใต้แรงกดดันมากกว่าเดิม เช่น กฎหมายที่บังคับให้พวกเขาต้องซื้อระบบทำความร้อนชนิดใหม่ให้กับบ้าน หรือเลือกหารถยนต์คันใหม่ที่ก่อมลพิษน้อยกว่าเดิม หลายต่อหลายครั้งที่เกษตรกรทั่วสหภาพยุโรปได้ก่อการประท้วงกฎเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ที่พวกเขาระบุว่าไม่ยุติธรรม และสร้างความล่มจมให้กับพวกเขา

ฝ่ายขวาจัดในยุโรปใช้ความคับข้องใจเหล่านี้มาฉายภาพว่าตนเองคือกระบอกเสียงของประชาชน และต้องการยืนหยัดต่อสู้กับ “ชนชั้นสูงที่อยู่ห่างไกล” ในรัฐบาลแห่งชาติของประเทศนั้น ๆ และในกรุงบรัสเซลล์ (ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรป)

ผลลัพธ์ก็คือ ภายใต้แรงกดดันก่อนการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปครั้งล่าสุด กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรปจำนวนหนึ่งได้ถูกปรับให้อ่อนลงหรือถูกยกเลิกไปเลย เช่นกฎควบคุมสารกำจัดศัตรูพืช เป็นต้น เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่อ่อนแอลงเช่นนี้อาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตต่อจากนี้

เมื่อพยายามจะคาดการณ์ให้แน่ชัดเกี่ยวกับประเภทของอำนาจที่ฝ่ายขวาชาตินิยม จะใช้ หรือ ไม่ใช้ ในสหภาพยุโรปในอนาคต มันมักจะไม่มีประโยชน์มากนักหากดูจากเพียงแนวคิดที่แปะป้ายพวกเขาไว้

เนื่องจากนักชาตินิยมขวาจัดบางคนกำลังกลายเป็นนักการเมืองกระแสหลักมากขึ้น โดยปรับท่าทีให้มีความเป็นขวากลางมากขึ้น เพื่อดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ขณะเดียวกันก็พบว่ามีนักการเมืองขวากลางจำนวนมากขึ้นที่ใช้ถ้อยคำหรือภาษาแบบฝ่ายขวาจัด เมื่อกล่าวถึงประเด็นร้อนอย่างเช่น ปัญหาผู้อพยพ และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ก็เพื่อพยายามดึงฐานเสียงกลุ่มผู้สนับสนุนให้อยู่กับตนเอง

โดยรวมแล้ว ฝ่ายขวากลางได้รับที่นั่งมากสุดและได้รับคะแนนเสียงเพิ่มมากขึ้นในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปครั้งล่าสุด ซึ่งผู้อ่านอาจพบว่ามันไม่ค่อยถูกพาดหัวข่าวเท่าไรนัก เมื่อเทียบกับการถกเถียงว่าทำไมฝ่ายขวาจัดถึงได้คะแนนสนับสนุนมากขึ้น

ที่มา : https://www.bbc.com/thai/articles/cpddj2n3z8ko

error: ขอบคุณที่ติดตามครับ