อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะเข้าเดือนเราะมะฎอนแล้ว ขณะนี้เรากำลังอยู่ในช่วงเดือนญุมาดิลอาคิร ซึ่งก็ทำให้นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์อิสลามนั่นคือ “สงครามยัรมูก” เกิดขึ้นในปีฮิจเราะฮฺที่ 13 กองทัพมุสลิมซึ่งมีจำนวน 45,000 นาย ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพโรมันไบแซนไทน์ที่ยิ่งใหญ่ ที่มีพลทหารมากถึง 240,000 นาย แม้กองทัพโรมันไบแซนไทน์จะใหญ่กว่าหลายเท่าตัว แต่ศึกครั้งนี้ก็จบลงโดยกองทัพมุสลิมเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ กองทัพต้องมีผู้บัญชาการ และผู้บัญชาการทัพมุสลิมในศึกครั้งนี้ก็คือ “ท่านคอลิด บิน อัลวะลีด” เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ
คอลิด บิน อัลวะลีด เป็นหนึ่งในแม่ทัพหรือผู้บัญชาการทัพมุสลิม เขามีชื่อเสียงในเรื่องการต่อสู้ การกำหนดยุทธวิธี และบัญชาการกองทัพมาตั้งแต่ก่อนรับอิสลามแล้ว เขาคือคนที่ทำให้มุสลิมพ่ายแพ้ในสงครามอุฮุด แต่วันที่เข้ารับอิสลาม เขายื่นดาบของเขาให้กับท่านนบี เป็นหลักฐานยืนยันว่าเขายอมจำนนต่ออัลลอฮฺแล้ว แต่ท่านนบียื่นดาบนั้นคืนกลับไป และให้เขาใช้ดาบนั้นต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ ท่านนบีเรียกเขาว่า “ซัยฟุลลอฮฺ อัลมัสลูล – ดาบของอัลลอฮฺที่ถูกชักออกจากฝัก”
การต่อสู้ดูเหมือนจะเป็นทักษะและความสามารถเดียวที่เขาทำได้ดีที่สุดเพื่ออัลลอฮฺและเราะสูล เขาจึงต่อสู้ ศึกแล้วศึกเล่า คอลิดนำชัยชนะมาให้อิสลาม ไม่น้อยกว่า 100 ศึกที่เขานำชัยชนะมาให้ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเขาเกิดขึ้น เมื่อเขาบัญชาการกองทัพมุสลิมพิชิตอาหรับ, เปอร์เซีย และโรมันไบแซนไทน์ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 4 ปี
ในยุคที่ท่านอบูบักรฺเป็นเคาะลีฟะฮฺ คอลิดได้รับภารกิจให้ขยายอาณาเขตของอาณาจักรอิสลาม เขานำชัยชนะมาให้อิสลามได้ในศึกยะมามะฮฺ (ปราบกบฏริดดะฮฺและมุสัยละมะฮฺผู้อ้างตนเป็นนบี), ศึกอุลีสหรือนะฮฺรุดดัม (ต่อสู้กับราชวงศ์ซาสซานียะฮฺของเปอร์เซีย), ศึกฟิร็อฎ (ต่อสู้กับจักรวรรดิเปอร์เซีย) และประสบความสำเร็จทางยุทธวิถีในศึกวัลญะฮฺ รวมถึงในชัยชนะในสงครามยัรมูก (ต่อสู้กับจักรวรรดิโรมันไบแซนไทน์) ด้วย ทำให้อาณาจักรอิสลามกลายเป็นมหาอำนาจของโลกในเวลาอันสั้น
แต่ในยุคเคาะลีฟะฮฺอุมัร บิน อัลค็อฏฏอบ คอลิดถูกถอดถอนจากตำแหน่งผู้บัญชาการทัพ เพื่อป้องกันการยึดติดกับตัวบุคคล เชื่อมั่นในตัวคอลิดและคิดว่าชัยชนะทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นเพราะว่ามีคอลิด ลืมไปว่าอัลลอฮฺต่างหากที่คอยช่วยเหลือ
คอลิดลงจากตำแหน่งผู้บัญชาการทัพ มาทำงานเป็นฑูตของเคาะลีฟะฮฺ เขาทำงานเพื่ออัลลอฮฺ ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงหรือตำแหน่งของตัวเอง ก่อนเสียชีวิต เขาเรียกเศาะหาบะฮฺมาที่ห้องของเขา และให้พวกเขาดูรอยแผลเป็นมากมายเต็มร่างกาย ที่เกิดจากคมศรธนู คมดาบ หรือปลายหอกที่แหลมคม เขาถามบรรดาเศาะหาบะฮฺว่า “ฉันได้ตามล่าหาความตายจนถึงที่ของมัน (ในการญิฮาด) แต่ทำไมฉันกลับต้องมาตายบนเตียงนี้ ไม่มีการงานไหนถัดจากคำกล่าวชะฮาดะฮฺ ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ – ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ” ที่ฉันหวังมากที่สุด นอกจากคืนหนึ่งที่ฉันได้ผ่านมันไปในสภาพที่เตรียมพร้อม แล้วฟ้าก็โปรยฝนลงมาถึงตอนเช้า และเช้าวันนั้น เราก็เริ่มการโจมตีใส่ศัตรู”
เศาะหาบะฮฺท่านหนึ่งพูดว่า “นั่นคือประสงค์ของอัลลอฮฺ พระองค์แต่งตั้งให้ท่านเป็นดาบของพระองค์ และดาบของพระองค์จะต้องไม่หักลง ในมือของผู้ปฏิเสธศรัทธา”
พูดถึงท่านคอลิด ก็นึกถึงความกล้าหาญ ความเสียสละ และการต่อสู้ดิ้นรนในหนทางของอัลลอฮฺ ที่จะต้องถูกปลูกฝัง สร้างให้มีขึ้นในตัวของเราและลูกหลานมุสลิมทุกคน