• ชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับในมิชิแกน โดยเฉพาะในเมืองดีร์บอร์น ลงคะแนนต่อต้านกมลา แฮร์ริส เนื่องจากความไม่พอใจต่อนโยบายสนับสนุนอิสราเอลในสงครามกาซาและเลบานอน
• แฮร์ริสแพ้ให้กับทรัมป์ในดีร์บอร์นด้วยคะแนนต่างกว่า 2,600 คะแนน ซึ่งแตกต่างจากปี 2020 ที่ไบเดนชนะทรัมป์ด้วยคะแนนต่างกว่า 17,400 คะแนน
• ข้อบกพร่องสำคัญในการหาเสียงของแฮร์ริส:
– ไม่ยอมพบปะชุมชนอาหรับในดีร์บอร์นโดยตรง
– ปฏิเสธการพูดคุยกับกลุ่ม Uncommitted Movement
– รณรงค์ร่วมกับตระกูลเชนีย์ ซึ่งเป็นที่ไม่พอใจของชุมชนอาหรับ
– ไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรมสำหรับชุมชนอาหรับ-มุสลิม
• ทรัมป์ แม้มีประวัติต่อต้านมุสลิม แต่:
– เดินทางพบปะชุมชนในดีร์บอร์นโดยตรง
– ลดโทนการต่อต้านชาวอาหรับ-มุสลิม
– สัญญาจะนำสันติภาพมาสู่ภูมิภาค
• ชุมชนอาหรับ-มุสลิมยืนยันว่าจะยังคงผลักดันนโยบายเพื่อ:
– หยุดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา
– หยุดการรุกรานเลบานอนใต้
– สนับสนุนการมีรัฐเป็นของตัวเองของปาเลสไตน์
• ผู้นำชุมชนระบุว่าพวกเขารอดชีวิตจากยุคทรัมป์ได้ แต่ญาติพี่น้องในปาเลสไตน์และเลบานอนหลายคนไม่รอดชีวิตในยุคไบเดน-แฮร์ริส
• บิล คลินตันสร้างความไม่พอใจให้ชุมชนอาหรับด้วยการกล่าวว่า:
– ฮามาส “บังคับ” อิสราเอลให้สังหารพลเรือนปาเลสไตน์
– ลัทธิไซออนิสต์มีมาก่อนศาสนาอิสลาม
• ทีมหาเสียงแฮร์ริสแสดงท่าทีที่เป็นปัญหา:
– หลีกเลี่ยงการพบปะชุมชนอาหรับโดยตรง
– ไม่ต้องการ “เคาะประตูบ้าน” เพราะกลัวการสนทนายืดเยื้อ
– ไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรม เช่น การเปิดสำนักงานทูตปาเลสไตน์หรือการให้ทุน UNRWA
• ชุมชนอาหรับมีมุมมองว่า:
– พวกเขารอดชีวิตจากยุคทรัมป์ได้
– แต่ญาติในปาเลสไตน์และเลบานอนไม่รอดในยุคไบเดน-แฮร์ริส
– จะยังคงผลักดันการเปลี่ยนแปลงต่อไปไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดี
– ไม่สนใจคำวิจารณ์จากสื่อสังคมที่โทษพวกเขาว่าทำให้แฮร์ริสแพ้