อิสลามไม่ได้ห้ามสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” อิสลามมีพื้นที่เสมอให้กับความรัก และโดยเนื้อแท้แล้ว อิสลามคือศาสนาแห่งความรัก อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลา พระองค์ก็ทรงมีความรัก รักต่อผู้ยำเกรง รักต่อผู้กลับเนื้อกลับตัว รักต่อผู้กระทำความดี และรักต่อผู้ที่อดทน และคุณลักษณะหนึ่งของพระองค์ก็คือ ทรงเมตตา ทรงกรุณาเสมอ อิสลามไม่เคยปฏิเสธเรื่องนี้เลย และอัลกุรอานก็มีกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วย
زُيِّنَ لِلنَّاسِ حُبُّ الشَّهَوَاتِ مِنَ النِّسَاءِ وَالْبَنِينَ وَالْقَنَاطِيرِ الْمُقَنطَرَةِ مِنَ الذَّهَبِ وَالْفِضَّةِ وَالْخَيْلِ الْمُسَوَّمَةِ وَالْأَنْعَامِ وَالْحَرْثِ ذَٰلِكَ مَتَاعُ الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَاللَّـهُ عِندَهُ حُسْنُ الْمَآبِ
ได้ถูกประดับประดาให้สวยงามแก่มนุษย์ (จนรู้สึกลุ่มหลง) ซึ่ง “ความรัก” ในบรรดาสิ่งที่เป็นเสน่ห์ อันได้แก่ ผู้หญิง (และผู้ชาย) ลูกชาย (และลูกสาว) ทองและเงินอันมากมาย ม้าดี ปศุสัตว์ และไร่นา นั่นเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์ชั่วคราวในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้เท่านั้น และอัลลอฮฺนั้น ณ พระองค์ คือที่กลับอันสวยงาม ((กุรอาน-อาลิอิมรอน 3 : 14)
อัลลอฮฺไม่ได้ห้ามเรื่องความรัก แต่พระองค์ทรงจัดวางระเบียบเกี่ยวกับมัน เพื่อที่ความรักจะได้เป็นความรักที่ให้ดอกออกผลที่สวยงาม ไม่ใช่ความรักที่ติดตามมาด้วยความทุกข์เศร้าและความเสียหาย
แต่ปัจจุบันนี้ โลกกลับจับมัดความรักให้คู่กันกับอารมณ์ความใคร่ (นัฟซู) และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในการเฉลิมฉลองวันวาเลนไทน์ สนองอารมณ์ของมนุษย์ในนามของความรัก
วันวาเลนไทน์มาจากไหน?
ในอดีตเมื่อสองพันปีที่แล้ว ชาวโรมันจะมีการจัดงาน เทศกาลลูเปอร์คาเลีย (Lupercalia) เป็นประจำทุกปี โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 กุมภาพันธ์ เพื่อบูชาเทพีและเทพเจ้าแห่งการเจริญพันธ์ (หรือ ความรัก) สิ่งที่มีชีวิตที่มีขาและหัวเป็นแพะ แต่ลำตัวเหมือนคน ภาพวาดของสิ่งมีชีวิตนี้ น่าจะเคยผ่านตาพวกเรากันมาบ้างแล้ว
การบูชาต่อเทพีและเทพเจ้าแห่งการเจริญพันธ์นี้ กระทำโดยให้หญิงสาวทั้งหลายเขียนชื่อของตนเองแล้วหย่อนลงกล่อง มีการจับฉลากชื่อขึ้นมา ชายใดได้ชื่อหญิงนางไหน เขาก็จะได้หญิงสาวคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมเที่ยวและเกี้ยวพาราสีกัน ซึ่งแน่นวนล้วนจบลงที่การร่วมประเวณี จนกระทั่งมันเป็นที่มาของการพบปะของหนุ่มสาว หาคู่ และกระทำสิ่งที่เรียกกันเอาเองว่า “แสดงความรัก”
ต่อมา เมื่ออาณาจักรโรมันได้เปลี่ยนมานับถือคริสตศาสนาและยกให้เป็นศาสนาประจำอาณาจักร พระสันตะปาปาเจลาซีอุส ที่ 1 ไม่อาจสั่งห้ามงานเทศกาลนี้ได้ จึงเลือกกำหนดให้กลายเป็นเทศกาลของคริสตจักรแทน โดยตั้งชื่อใหม่เป็น “วันวาเลนไทน์”
วันวาเลนไทน์ คือวันรำลึกถึงนักบุญวาเลนตินุส นักบุญที่คอยช่วยเหลือคริสตศาสนิกชนที่ถูกทางการโรมันในอดีตจับกุมตัวและทรมาน จนท้ายที่สุดเขาก็ถูกจับกุมตัวไปด้วย และสุดท้ายก็ถูกตัดสินประหารชีวิต (มรณสักขี) เขาจึงได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญ หรือ Saint และวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันเสียชีวิตของเขา ก็ได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นวันวาเลนไทน์
แม้จะเปลี่ยนชื่อมาเป็นวันวาเลนไทน์ – วันแห่งการรำลึกถึงนักบุญวาเลนตินุส แต่กิจกรรมรักๆใคร่ๆ การมั่วสุมทางเพศ และการผิดประเวณี ก็ยังคงดำเนินต่อไป กระทั่งคริสตจักรได้ยกเลิกเทศกาลนี้และประกาศว่า มันไม่ใช่ประเพณีของคริสตจักรอีกต่อไป พวกเขาตระหนักแล้วถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเทศกาลนี้ ความเสียหายของการมั่วสุ่มทางเพศ การร่วมประเวณีก่อนแต่งงาน การข่มขืน การตั้งท้อง และการทำแท้ง ที่สร้างความเสื่อมเสียต่อศีลธรรมและจริยธรรมของคริสตศาสนิกชนและสังคมโดยรวม
ปัจจุบันนี้ที่อเมริกา มีช่วงสัปดาห์ที่เรียกว่า “สัปดาห์ถุงยางอนามัยโลก” คือ 1 สัปดาห์ก่อนหน้าและหลัง วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ส่งเสริมให้ประชาชนสวมใส่ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ เพื่อป้องกันกามโรคและคุมกำเนิด
ฉลองวันวาเลนไทน์ได้ไหม?
มุสลิมบางคนอาจพูดว่า “เราไม่ได้มั่วสุมทางเพศ หรือมีเซ็กส์ในวันนั้นสักหน่อย” ใช่! แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หญิงสาวจำนวนมากเสียตัวในวันนั้น ไม่ว่าเธอจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และในจำนวนนั้นก็มีมุสลิมเราอยู่ด้วย และต่อให้ไม่ถึงขั้นมีเซ็กส์ การพบเจอ ไปเที่ยวด้วยกัน จับมือถือแขน มอบดอกกุหลาบ ช็อคโกแลต หรือของขวัญให้แก่กัน ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ผิดทั้งสิ้น เป็นการซินาเล็ก และเป็นสื่อที่ชัยฏอนจะใช้เป็นเครื่องมือชักนำไปสู่การซินาใหญ่ (ร่วมประเวณี) ในที่สุด
ท่านนบีมุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ห้ามการเข้าร่วมพิธีกรรมหรือติดตามเลียนแบบประเพณีวัฒนธรรมอื่นที่ไม่ใช่อิสลาม ท่านกล่าวว่า
مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ فَهُوَ مِنْهُمْ
ใครเลียนแบบกลุ่มชนใด เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มชนนั้น (บันทึกโดย อัตติรมิซีย์)
ในหะดีษอีกบทหนึ่ง ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้เตือนพวกเราไว้ว่า
لَتَتَّبِعُنَّ سَنَنَ الَّذِينَ مِنْ قَبْلِكُمْ شِبْرًا بِشِبْرٍ وَذِرَاعًا بِذِرَاعٍ حَتَّى لَوْ دَخَلُوا فِي جُحْرِ ضَبٍّ لَاتَّبَعْتُمُوهُمْ قُلْنَا يَا رَسُولَ اللَّهِ آلْيَهُودَ وَالنَّصَارَى قَالَ فَمَنْ“ต่อไปพวกท่านจะเจริญรอยตามแนวทางของผู้ที่มาก่อนพวกท่าน ทีละคืบ ทีละศอก แม้กระทั่งพวกเขาเข้าไปในรูแย้ พวกเจ้าก็เข้าตามไปด้วย” พวกเราได้ถามท่านเราะสูลว่า “โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ท่านหมายถึงขาวยิวและคริสเตียนใช่ไหม?” ท่านเราะสูลตอบว่า “จะเป็นใครอีก ถ้าไม่ใช่พวกนี้” (บันทึกโดยมุสลิม : 2669)
อิสลามไม่อนุญาตให้มีการเฉลิมฉลองวันวาเลนไทน์หรือเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆของเทศกาลนี้ ไม่ใช่เพราะมันเป็นวันเฉลิมฉลองหรือวันตรุษ (อีด) อื่นจากที่อิสลามกำหนดเพียงเท่านั้น แต่เพราะที่มาที่ไปของมันไม่ถูกต้อง เป็นวันบูชาเทพเจ้าแห่งความรักของชาวโรมัน เป็นวันรำลึกถึงนักบุญของชาวคริสต์ ซึ่งเกี่ยวกับความเชื่อ กระทบต่ออะกีดะฮฺหรือหลักศรัทธาของมุสลิมโดยตรง และกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลนี้ก็ล้วนสวนทางกับหลักคุณธรรมและจริยธรรมที่ดีงามของอิสลามอย่างชัดเจนด้วย
วันวาเลนไทน์ไม่ใช่วันเฉลิมฉลองในอิสลาม แต่เป็นวันและเทศกาลที่บ่อนทำลายศีลธรรมและสร้างความเสียหายแก่สังคม เราไม่ควรถูกหลอกให้ติดตาม เข้าร่วม หรือสนับสนุนวันนี้ เพียงเพราะคำโฆษณาชวนเชื้อที่ว่ามันคือ “วันแห่งความรัก”