ประชาชนแน่นลานเซ็นทรัลเวิลด์ หนุน ‘พิธา’ นายกฯ คนที่ 30! ‘ทิชา’ ขอ ส.ว. โหวตอย่างกล้าหาญ – White Channel

White Channel

ประชาชนแน่นลานเซ็นทรัลเวิลด์ หนุน ‘พิธา’ นายกฯ คนที่ 30! ‘ทิชา’ ขอ ส.ว. โหวตอย่างกล้าหาญ

POLITICS : ประชาชนแน่นลานเซ็นทรัลเวิลด์ หนุน ‘พิธา’ นายกฯ คนที่ 30! ‘ทิชา’ ขอ ส.ว. โหวตอย่างกล้าหาญ สร้างประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยที่สง่างาม ‘มารีญา’ ชี้ความหวังแห่งประชาธิปไตยเกิดขึ้นแล้ว ด้าน ‘พิธา’ ปลุกนักการเมืองเลือกความถูกต้อง คืนความปกติให้ระบบการเมืองไทย คืนศรัทธาให้ประชาชน
.
วันที่ 9 กรกฎาคม 2566 พรรคก้าวไกลจัดกิจกรรม ‘ขอบคุณประชาชน ฟังเสียงทุกคนก่อนโหวตนายกฯ’ ที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มี ส.ส. พรรคก้าวไกล รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงร่วมงาน เช่น ยุทธนา บุญอ้อม หรือ ‘ป๋าเต็ด’ พิธีกรชื่อดัง และ วีรพร นิติประภา นักเขียนรางวัลซีไรต์ โดยแม้บริเวณงานจะมีฝนโปรยปรายลงมา แต่ประชาชนยังคงปักหลักจนเต็มพื้นที่ รอฟังการปราศรัยของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล รวมถึงแขกรับเชิญพิเศษที่มาร่วมเวทีเพื่อสนับสนุนพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ตามมติของประชาชนที่สะท้อนผ่านผลการวันเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม
.
สำหรับแขกรับเชิญคนแรก คือ ทิชา ณ นคร นักสิทธิเด็กและสตรี อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้กล่าวเชิญชวน ส.ว. ให้โหวตเลือกนายกฯ ในวันที่ 13 กรกฎาคมโดยเคารพต่อเสียงของประชาชนว่า ขอให้ ส.ว. เคารพต่อเจตจำนงของประชาชนที่ได้ตัดสินใจเลือกพรรคก้าวไกลไปแล้ว ปล่อยให้ระบบประชาธิปไตยดำเนินไปตามครรลอง ส.ว. ไม่มีหน้าที่คัดค้าน หรือทำให้ความฝันความหวังของประชาชนดับสิ้นลงเหมือนหลายปีที่ผ่านมา
.
“นายกฯ คนที่ 30 ต้องเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน ครั้งนี้ประเทศไทยกำลังจะรีสตาร์ทระบบประชาธิปไตยครั้งยิ่งใหญ่ เป็นการเดิมพันด้วยปัญญา ด้วยหัวใจ และด้วยศรัทธาของผู้คนมหาศาล จึงมีพลังพอที่จะลบบาดแผล ลบความบอบช้ำของสังคมไทยซึ่งมีมายาวนาน ดิฉันเชื่อและมีความหวังว่าประวัติศาสตร์การเมืองไทยจะบันทึกว่านายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย ชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ทิชาระบุ
.
ทิชากล่าวด้วยว่า เมื่อพิธาเป็นนายกฯ มีความหวังและความเชื่อว่าจะนำระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปรับมือกับกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงของโลก จึงขอให้ทุกการตัดสินใจของ ส.ว. ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 13 กรกฎาคม เป็นการตัดสินใจอย่างกล้าหาญ มีวิสัยทัศน์ และยินดีให้คนหนุ่มสาวนำทาง เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยของประเทศนี้ เปลี่ยนเป็นประวัติศาสตร์ที่สง่างาม มีคุณค่า สำหรับลูกหลานของพวกเราทุกคน
.
แขกรับเชิญคนต่อมาคือ มารีญา พูลเลิศลาภ นักแสดงและนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวถึงความสำคัญของความหวังในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นให้ประชาชนว่า วันนี้ตนได้มายืนอยู่ท่ามกลางความหวัง เชื่อว่าความหวังของทุกคนจะขับเคลื่อนเป็นพลังที่ดีของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นความหวังด้านคุณภาพชีวิต ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการศึกษา และสิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานของการพัฒนาทุกความหวัง คือความหวังแห่งประชาธิปไตย
.
มารีญากล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนได้มีส่วนร่วมในหลายโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เช่น ประเด็นสวัสดิภาพช้าง เชื่อมั่นว่ารัฐบาลชุดใหม่จะขับเคลื่อนกฎหมายเพื่อดูแลช้างไทยอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ จากการพูดคุยกับเยาวชน รับรู้ว่าความฝันของหลายคนถูกจำกัด จึงคิดว่าถึงเวลาที่ประเทศไทยจะให้ความสำคัญกับความฝันที่หลากหลายของเยาวชน เพื่อให้พวกเขาร่วมขับเคลื่อนประเทศไทย
.
จากนั้น พิธาขึ้นปิดท้ายเวที กล่าวว่า เหลือเวลาเพียง 4 วันเท่านั้น จะเป็นเวลาประวัติศาสตร์ ทั่วโลกกำลังจับตาดูว่าประเทศไทยจะเดินไปทิศทางไหน เป็นเรื่องของนักการเมืองทั้ง 2 สภา ที่ต้องตัดสินใจร่วมกันว่าอนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ถ้าเราตัดสินใจถูกต้อง ให้โอกาสประเทศไทยอยู่กับอนาคต ประเทศไทยจะเจริญไม่เป็นสองรองใคร แต่ถ้าเราเลือกผิด ฝืนมติประชาชน ทำให้ความไม่ปกติของการเมืองไทยคงอยู่ต่อไป ตนไม่รู้ว่าโอกาสทองแบบนี้จะมาอีกครั้งเมื่อไร
.
การคืนความปกติให้การเมือง เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม ที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ทั่วประเทศ ให้คะแนนพรรคก้าวไกลกว่า 14 ล้านเสียง ให้คะแนนพรรคเพื่อไทยกว่า 10 ล้านเสียง รวม 8 พรรคเสียงข้างมากกว่า 27 ล้านเสียง หรือกว่า 70% ของผู้มาใช้สิทธิ์ คนไทยออกมาบอกแล้วว่าประเทศไทยต้องไม่เหมือนเดิม แต่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เพราะความไม่ปกติของการเมืองไทยที่มาจากรัฐธรรมนูญ 2560 การยึดอำนาจ นิติสงคราม การยุบพรรค ทำให้การเลือกตั้งที่ดูเหมือนจะเสร็จสิ้น กลับไม่เสร็จเสียที
.
“ครั้งนี้คือโอกาสประวัติศาสตร์ที่สมาชิกทั้ง 750 คนในรัฐสภาจะคืนความปกติให้การเมืองไทย ให้ประเทศไทยเดินหน้า ให้เราเท่าเทียมกันและเท่าทันโลก” พิธากล่าว
.
หัวหน้าพรรคก้าวไกลระบุต่อว่า ตนขอส่งสารไปถึงประชาชน เราพิสูจน์แล้วว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ถ้าพวกเราร่วมมือกัน วันที่ 13 กรกฎาคม ตนพร้อมเป็นนายกฯ ของทุกคน ขอให้พิธาได้รับใช้ประชาชนทุกคน รวมถึงขอส่งสารถึงเพื่อน ส.ส. เราต่างผ่านความไม่ปกติของระบบการเมืองไทย การตัดสินใจของท่านสามารถคืนความปกติให้ประเทศไทย อย่าพลาดโอกาสนี้ เพราะประชาชนอาจหมดศรัทธาในผู้แทนราษฎรและระบบรัฐสภา ดังนั้นอย่าให้ประชาชนต้องผิดหวัง
.
ส่วน ส.ว. แม้ว่าที่มาของเราจะแตกต่างกัน แต่เราคือนักการเมืองของประชาชนเหมือนกัน ตนขอแสดงความชื่นชมในความกล้าหาญของ ส.ว. ที่บอกว่าจะเป็น ส.ว. ของประชาชน ที่จะลงมติตามเสียงข้างมาก ไม่โหวตสวนมติของประชาชน
.
“เมื่อผมได้พูดคุยกับ ส.ว. พวกเขาก็เป็นห่วงชาติบ้านเมือง ต้องการทำให้เศรษฐกิจดี ต้องการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ต่างจากผม ดังนั้น หลังจากที่ผมเป็นนายกฯ ขออนุญาตปรึกษาและทำงานกับ ส.ว. ในหนึ่งปีสุดท้ายของท่าน ทำงานร่วมกันเพื่อประชาชนเท่านั้น” พิธากล่าว
.
ในช่วงท้าย พิธากล่าวว่า ตนอาจไม่ได้เป็นนายกฯ ที่สมบูรณ์แบบ แต่จะเป็นนายกฯ ที่ขยันที่สุด ตนไม่มีคำตอบกับทุกเรื่องที่เป็นความท้าทายใหม่ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็น โรคอุบัติใหม่ สังคมสูงวัย ภาวะโลกร้อน ไม่มีใครในประเทศไทยที่มีประสบการณ์แก้ปัญหาเหล่านี้ แต่ขอสัญญาว่าเมื่อคิดวิธีแก้ปัญหาเรื่องใดไม่ออก ตนจะกลับมาหาประชาชน รับฟังและพูดคุยกับประชาชน ทำเพื่อประชาชน
.
“ผมสัญญาไม่ได้ว่าการเดินทางของพวกเราจะราบรื่น ทุกอย่างย่อมมีอุปสรรค แต่ตราบใดพวกเรายังเดินด้วยกัน รับรองว่าจะคุ้มค่าแน่นอน ยืนยันไม่มีเหน็ดเหนื่อย ไม่ท้อ ถึงเวลาที่ประเทศนี้ต้องขับเคลื่อนด้วยความหวัง พอกันทีกับความกลัว วันนี้แม้ยังมีความมืด แต่ผมให้สัญญาว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันของประชาชนที่สว่างไสว ขอให้เราร่วมมือกัน เปลี่ยนประเทศไทยและเปลี่ยนโลกใบนี้ไปด้วยกัน” พิธากล่าว
.

พรรคก้าวไกล

ขุนคมคำ

error: ขอบคุณที่ติดตามครับ