White Channel

ภาวะ “ฮิคิโคโมริ” ในสังคมญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น

เกิดอะไรในโลก : ญี่ปุ่นเผชิญปัญหาภาวะ “ฮิคิโคโมริ” ที่คนหันหลังให้สังคมมากขึ้น

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญปัญหาซ้ำเติมจากสภาวะสังคมผู้สูงวัยที่ทำให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวนานกว่า 3 ทศวรรษ "ฮิคิโคโมริ" กลุ่มคนที่เลือกจะหันหลังให้กับสังคมเพราะความรู้สึกไม่ปลอดภัย ทำให้ญี่ปุ่นต้องเสียกำลังหลักจากคนวัยทำงานเกือบล้านคนที่ไม่ยอมสร้างรายได้ให้ประเทศ

กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นให้คำจำกัดความบุคคลประเภท ฮิคิโคโมริ ว่าเป็นบุคคลที่ปฏิเสธการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เลือกที่จะอยู่คนเดียว ไม่ไปโรงเรียน ไม่ไปทำงาน มากกว่า 6 เดือนขึ้นไป

ฮิคิโคโมริ ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15-64 ปี (65 ปีขึ้นไป ญี่ปุ่นจัดให้เป็นผู้สูงวัย) ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง คาดการณ์ว่าในประเทศญี่ปุ่น มี ฮิคิโคโมริ มากถึง 1.2 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 1.6 ของประชากรประเทศ (ประมาณ 130 ล้านคน)

แต่หากมองเฉพาะกลุ่มวัยทำงาน (15-64 ปี) จะมี ฮิคิโคโมริ มากถึงร้อยละ 2.6 ฮิคิโคโมริ บางคน เลือกที่จะแยกตัวออกจากสังคมมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี บางคนอยู่อย่างโดดเดี่ยวมานานถึง 30 ปี

📌 ทำไมเลือกเป็น ฮิคิโคโมริ

คนวัยเรียน-ทำงานในญี่ปุ่นหลายคนเลือกจะเป็น ฮิคิโคโมริ เพราะพวกเขารู้สึกว่า “เป็นความรู้สึกที่ปลอดภัยสำหรับตัวเอง”

คนที่เป็นฮิคิโคโมริจะขาดความมั่นใจในตัวเอง กลัวการปฏิสัมพัทธ์กับผู้คน และมีปัญหาด้านบุคลิกภาพ มักขังตัวเองไว้ในห้องแทบตลอดเวลาโดยไม่ยอมไปโรงเรียนหรือไปทำงาน แต่บางคนก็สามารถไปที่ที่รู้สึกปลอดภัยซึ่งไม่ต้องข้องแวะกับผู้คนนัก เช่น ห้องสมุด สถานีรถไฟ หรือร้านสะดวกซื้อ แม้จะรู้สึกสบายใจกับการอยู่ในโลกส่วนตัวมากกว่าออกไปเจอโลกภายนอก แต่พวกเขาก็มักรู้สึกเหงา กระวนกระวาย และซึมเศร้าอยู่เสมอ

แม้จิตแพทย์จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าอะไรทำให้เกิดพฤติกรรมเลี่ยงสังคมอย่างหนัก แต่จากการศึกษาบางส่วนพบว่าปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดฮิคิโคโมริของหลายประเทศอยู่ที่ความรู้สึกอับอายและล้มเหลวอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ผ่าน การไม่ได้งานที่ฝัน การออกจากงาน การตกงาน ส่วนปัจจัยอื่น ๆ อาจเนื่องมาจากการถูกรังแกในช่วงวัยเรียน การที่พ่อแม่ตามใจลูกมากเกินไป หรือกระทั่งการที่ลูกมีความบกพร่องทางพัฒนาการ (developmental disorders) มาแต่เด็กโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ ลูกจึงปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ อย่างนี้ก็มี

📌 สภาพสังคมสุดเข้มงวด

สาเหตุที่ญี่ปุ่นมีฮิคิโคโมริจำนวนมากเป็นพิเศษถึงขนาดเกินล้านคนน่าจะมาจากสภาพสังคมของญี่ปุ่นเอง กล่าวคือการใช้ชีวิตตามกรอบอย่างเข้มงวด อีกทั้งมีค่านิยมในการทำตามกันให้เหมือนคนอื่น ๆ ให้ค่ากับความสมบูรณ์แบบ นิยมความอดทนอดกลั้น มักโทษตัวเองง่าย ซึ่งนัยหนึ่งก็เหมือนจะดีคือทำให้สังคมมีทิศทางไปในทางเดียวกัน เป็นระบบระเบียบ ได้มาตรฐานที่สูง ผู้คนมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม

แต่อีกทางหนึ่งค่านิยมที่ขาดความยืดหยุ่นเช่นนี้ก็ทำให้คนที่แตกต่างหรือไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานดังกล่าว รู้สึกถูกปฏิเสธตัวตนและไร้ที่ยืนในสังคม เมื่อความเครียดเพิ่มมากเข้าจนบีบคั้นให้อยากหนี ในที่สุดจึงเดินออกจากวงโคจร ซึ่งสำหรับสังคมญี่ปุ่นแล้วหากหลุดออกไปครั้งหนึ่งก็จะกลับเข้าไปใหม่ได้ยากเย็นยิ่ง คล้ายกับรถไฟที่ตกออกจากราง

นอกจากนี้ครอบครัวยังอาจมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้ลูกกลายเป็นฮิคิโคโมริได้เช่นกัน เนื่องจากสังคมญี่ปุ่นมีค่านิยมที่จะรับผิดชอบเรื่องของตนเอง เมื่อในครอบครัวมีคนเป็นฮิคิโคโมริก็คิดว่าต้องแก้ปัญหากันเอง พ่อแม่จึงรับผิดชอบด้วยการดูแลลูกของตนอยู่กับบ้านไปเรื่อย ๆ ต่างกับสังคมตะวันตกบางส่วนที่นิยมให้ลูกยืนหยัดด้วยตัวเอง และให้ออกจากบ้านไปรับผิดชอบชีวิตตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ

แม้ในช่วงแรกของการหนีสังคมอาจทำให้รู้สึกสบายใจที่ไม่ต้องเจอสิ่งกระตุ้นความเครียดโดยตรง แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานโดยไม่หาทางแก้ปัญหา สุขภาพจิตก็จะยิ่งแย่ลง แถมยิ่งอยู่ติดบ้านนานก็ยิ่งไม่ได้พบเจอผู้คน จึงขาดทักษะในการเข้าสังคม ยิ่งไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ยิ่งขาดโอกาสทำสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง และรู้สึกด้อยคุณค่าไปเรื่อย ๆ ความนับถือตัวเองจึงยิ่งลดลงเป็นลำดับ

📌 การแก้ปัญหาที่ล่าช้า

ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งคือฮิคิโคโมริมักได้รับความช่วยเหลือช้ามาก คือเฉลี่ยแล้วใช้เวลาถึง 4.4 ปี สาเหตุหลักเป็นเพราะคนในครอบครัวไม่ทราบว่าควรจัดการกับปัญหาอย่างไร รวมทั้งยังรู้สึกอายสังคมที่ในบ้านมีคนเป็นฮิคิโคโมริ ครอบครัวจึงพลอยค่อย ๆ หลีกเร้นสังคมไปด้วย และปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังไปทั้งอย่างนั้น อีกทั้งฮิคิโคโมริที่เป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือด้วยตัวเองก็มีน้อย หากไม่มีปัจจัยภายนอกมากระตุ้นให้ฮิคิโคโมริยอมเปิดใจและค่อย ๆ เดินออกจากโลกส่วนตัวมาสู่โลกภายนอก ก็ยากที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่พวกเขาได้

แม้ว่าองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นของญี่ปุ่นจำนวนมากจะมีศูนย์ให้ความช่วยเหลือครอบครัวที่มีฮิคิโคโมริ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง และมักเน้นไปที่การช่วยกระตุ้นให้ฮิคิโคโมริออกจากห้องตัวเองและกลับเข้าสู่สังคมทำงาน โดยที่ปัญหาทางด้านจิตใจอาจจะยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งจิตแพทย์บางส่วนมองว่าไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสมและไม่ได้ผลดี

ในขณะเดียวกันองค์กรและกลุ่มอิสระบางแห่งเน้นไปที่การเสริมสร้างทักษะทางสังคม ด้วยการดึงให้ฮิคิโคโมริเข้าร่วมกิจกรรม เช่น ทำสวน เล่นกีฬา เล่นดนตรี เป็นอาสาสมัคร เพื่อบ่มเพาะความมั่นใจในตัวเองของฮิคิโคโมริขึ้นทีละน้อยจนสามารถกลับไปทำงานหรือเรียนหนังสือได้ หรือสร้างแนวทางให้ฮิคิโคโมริใช้ความสามารถและพรสวรรค์ที่ตนมีในทางที่เป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น อดีตฮิคิโคโมริคนหนึ่งที่ใช้ศิลปะและการเคลื่อนไหวทางสังคมในการบำบัดตัวเอง เป็นต้น

และเนื่องจากครอบครัวเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาฮิคิโคโมริได้ ปัจจุบันจึงมีแนวคิดในการบำบัดร่วมกันทั้งครอบครัว เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะในการสื่อสารระหว่างคนในบ้านกับฮิคิโคโมริ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการทดลอง

📌 แล้วฮิคิโคโมริยังชีพด้วยอะไร

คำตอบ คือ ด้วยเงินบำนาญของพ่อแม่ ด้วยความที่เลือกจะแยกตัวออกจากสังคมเป็นเวลานาน ทำให้ฮิคิโคโมริไม่สามารถกลับเข้าสู่สังคมการทำงานได้ ทำให้ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ใดๆ ทางเดียวที่จะทำให้ตัวเองอยู่รอดได้ คือ ขอเงินจากพ่อแม่ของตัวเอง จนทำให้เกิด “ปัญหา 80-50” ตามมา นั่นคือ คนวัย 80 ปี ที่ต้องเลี้ยงดูคนวัย 50 ปี จะทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมาอีก

ปัญหาใหญ่สำหรับญี่ปุ่นในเวลานี้คือ จากสถิติของทางการแล้วมีฮิคิโคโมริเกินครึ่งที่อยู่ในวัย 40-64 ปี ในขณะที่พ่อแม่ของพวกเขาก็อยู่ในวัยชราหรือเสียชีวิตไป โดยที่ลูกซึ่งเป็นฮิคิโคโมริยังไม่สามารถดูแลตัวเองหรือกลับเข้าสู่สังคมได้ ซึ่งแนวทางแก้ไขปัญหาสำหรับคนกลุ่มนี้ยังมีน้อยมาก

ยิ่งไปกว่านั้นการเพิ่มจำนวนของฮิคิโคโมริอย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้น ซึ่งสวนทางกับจำนวนประชากรญี่ปุ่นที่กำลังลดลงเรื่อย ๆ ก็เป็นเรื่องน่ากังวลยิ่ง เพราะจำนวนประชากรเกิดใหม่ลดลง ประชากรสูงอายุมากขึ้น และประชากรที่น่าจะเป็นความหวังของสังคมแต่ไม่สามารถเรียนหนังสือหรือทำงานได้ก็เพิ่มขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญแนะว่าถ้ามีคนในบ้านมีอาการแบบฮิคิโคโมริ ก็ควรจะรีบปรึกษาจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญแต่เนิ่น ๆ เพื่อช่วยเหลือและแก้ปัญหาได้ทันท่วงที และจะได้ทราบว่าพ่อแม่ควรปฏิบัติกับลูกอย่างไร ไม่ปล่อยให้กลายเป็นปัญหาที่แก้ยากเกินไปในภายหลัง

📌 ฮิคิโคโมริและปัญหาทางเศรษฐกิจ

ญี่ปุ่น” ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ผู้สูงอายุมีอายุขัยเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก โดยผู้ชายอยู่ที่ 81 ปี ผู้หญิงอยู่ที่ 87 ปี แต่นั่นก็สะท้อนให้เห็นว่า “สังคมสูงวัย” ของญี่ปุ่นนั้นกำลังมีจำนวนที่มากขึ้นและกว้างขึ้นเช่นกัน

ปัญหาอีกข้อคือ กลุ่มวัยทำงานของญี่ปุ่นนั้นกลับมีจำนวนที่ลดลง และหนุ่มสาวเริ่มที่จะไม่แต่งงาน เลือกจะอยู่คนเดียวมากขึ้น จนขณะนี้ญี่ปุ่นถูกขนานนามว่า “3 ทศวรรษทางเศรษฐกิจที่หายไป” เพราะปัญหาประชากรในประเทศนั่นเอง

ฮิคิโคโมริ เองนั้นก็ถูกรัฐดูแลทางอ้อมเช่นกัน เพราะในขณะที่รัฐต้องดูแลกลุ่มผู้สูงอายุด้วยเงินบำนาญ แต่พ่อแม่ของ ฮิคิโคโมริ ต้องใช้เงินจำนวนนั้นแบ่งให้ลูกของพวกเขาด้วย นอกจากจำนวนประชากรสูงวัยที่มีมากถึงร้อยละ 28.4 ของประเทศแล้วนั้น รัฐยังต้องเลี้ยงคนอีก ร้อยละ 1.6 ของประเทศ ที่ควรเป็นวัยสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ แต่เลือกที่จะหันหลังให้ ให้ครอบครัวรวมถึงรัฐดูแลไปอีกนาน

ที่มา :

thaipbs : https://www.thaipbs.or.th/news/content/321223

กรมสุขภาพจิต : https://dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=30506

error: ขอบคุณที่ติดตามครับ