ปาเลสไตน์ : ประวัติศาสตร์และวันข้างหน้า
ตอนที่ 4 (ตอนจบ) ปาเลสไตน์ไม่มีวันยอมจำนน
*********************************************
“อินติฟาเฎาะฮฺ” (إِنْتِفَاضَة) หมายถึง การปลดปล่อยตนเอง ถูกใช้เรียกเหตุการณ์การลุกฮือของประชาชนชาวปาเลสเตน์เพื่อต่อต้านการยึดครองของอิสราเอลบนแผ่นดินปาเลสไตน์
“อินติฟาเฎาะฮฺ ครั้งที่ 1” เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1987 จนถึงปี ค.ศ.1993 ด้วยสัญญาสันติภาพออสโลที่กลุ่มฟัตตาหฺของยัสเซอร์ อารอฟัต ได้ทำไว้กับอิสราเอล ซึ่งกลุ่มฮามาสและชาวปาเลสไตน์ไม่ยอมรับ เนื่องจากเป็นสัญญาที่เอียงข้าง เพราะมันหมายความว่าชาวปาเลสไตน์จะเสียแผ่นดินของตัวเองไปถึง 77% อำนาจการปกครองถูกจำกัด และมีสิทธิ์ปกครองตนเองได้แค่เพียงบริเวณฉนวนกาซ่าและเขตเวสต์ แบงค์เท่านั้น ซึ่งยังไม่นับรวมข้อเสียเปรียบและความเสียหายอื่นๆอีกมากมายที่จะติดตามจากสัญญานี้ และชาวปาเลสไตน์ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆกับการทำสัญญาหรือเนื้อหาภายในสัญญานี้ด้วย
อินติฟาเฎาะฮฺ ครั้งที่ 2
วันที่ 29 พฤศจิกายน ปี 2000 เมื่อ เอเรียล ชารอน ผู้นำพรรคลิคุด (Likud) พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยกว่า 600 คน เดินทางเข้าไปยังมัสญิดอัลอักศอ โดยได้รับการอนุญาตจาก เอฮุด บารัค นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ในสมัยนั้น เป็นการหมิ่นเกียรติชาวปาเลสไตน์ (และประชาชาติอิสลาม) อย่างรุนแรง จนนำไปสู่การลุกฮือครั้งใหญ่อีกครั้ง เรียกว่า “อินติฟาเฎาะฮฺ อัลอักศอ” หรือ “อินติฟาเฎาะฮฺ ครั้งที่ 2”
แม้เหตุการณ์นี้จะบานปลายและนำไปสู่ความเสียหายและความสูญเสียมากมาย ทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชนชาวปาเลสไตน์ทั้งหญิงและชาย เด็กและผู้ใหญ่ แต่ในปี ค.ศ.2005 ชาวปาเลสไตน์ก็สามารถกดดันจนสำเร็จ อิสราเอลตัดสินใจนำประชาชนและทหารของตนเองออกจากฉนวนกาซ่า รวมถึงสถาบันการศึกษาและอาคารต่างๆที่พวกเขาเข้าไปสร้างขึ้นบนที่ดินของชาวปาเลสไตน์ด้วย
1 ปีต่อมาเกิดการเลือกตั้งขึ้น และฮามาสได้รับชัยชนะเหนือฟัตตาหฺ ได้ อิสมาอีล ฮะนียะฮฺ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของปาเลสไตน์ แม้อิสราเอล อเมริกา และบางประเทศจะไม่ยอมรับก็ตาม พวกเขารู้สึกถูกคุกคาม เพราะฮามาสที่ตอนนี้ชนะการเลือกตั้งและได้ขึ้นเป็นรัฐบาลคือ องค์กรที่ยึดมั่นกับหลักการต่อสู้ ไม่ยอมสิโรราบต่อฝ่ายอิสราเอลและอเมริกา พวกเขาจึงกำแพงคอนกรีต (Blockade) สูง 30 ฟุต ล้อมรอบฉนวนกาซ่าและเขตเวสต์ แบ็งค์
คุกเปิดขนาดใหญ่
กำแพงปิดล้อมนี้ทำให้ชาวปาเลสไตน์ขาดเสบียงอาหาร น้ำ และปัจจัยยังชีพพื้นฐานที่ครบถ้วน เป็นเวลานานถึง 2 ปี พวกเขาเสมือนถูกขังอยู่ในคุกขนาดใหญ่ที่มีหลังคาเป็นท้องฟ้า และในช่วงเดียวกันนั้น ทหารยิวไซออนิสต์ก็ถูกส่งเข้าไปเพื่อทำลายบ้านเรือน ร้านค้า และเรือกสวนของชาวปาเลสไตน์ ขับไล่ ทรมาน สังหาร ถูกจับและตัดสินอย่างอธรรม
เฉพาะในช่วงปี ค.ศ. 2007-2008 ชาวปาเลสไตน์ถูกฆ่ามากกว่า 1,400 คน และ 80% เป็นประชาชนทั่วไป และมีบ้านเรือนกว่า 6,400 ถูกรื้อถอนและทำลาย ตลอดระยะเวลาที่โศกนาฏกรรมนี้เกิดขึ้น ไม่มีประเทศใดในยุโรป (ซึ่งชอบอ้างถึงประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และมนุษยธรรม) ที่ออกมาประณามอิสราเอลเลย
ฉนวนกาซ่าและเขตเวสต์แบงค์ ลุกเป็นไฟ ชาวปาเลสไตน์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ล้มตายกันนับไม่ถ้วน เมื่ออิสราเอลเริ่มใช้อาวุธที่ร้ายแรงอย่างเครืองบิน F-16, เฮลิคอปเตอร์อาปาเช่, ระเบิดฟอสฟอรัสขาว, คลัสเตอร์บอมบ์ และอาวุธใหม่อย่าง DIME ที่สร้างบาดแผลแบบที่แพทย์ไม่เคยพบเจอมาก่อน กว่า 23 วันที่อิสราเอลโจมตีกาซ่า และระเบิดราว 1.5 ล้านกิโลกรัมถูกทิ้งลงที่นั่น พวกเขาทำให้กาซ่าเป็นเสมือนสถานที่ทดลองอาวุธใหม่ว่าให้ผลสมใจแค่ไหน โดยไม่สนใจว่ามันจะถูกต้อง หรือชาวโลกจะพูดอย่างไรบ้าง
เราจะไม่ยอมจำนน
แม้อิสราเอลจะพยายามโจมตีอย่างหนัก แต่ปาเลสไตน์ก็ไม่ยอมจำนน ความโหดร้ายของอิสราเอลและการยืนหยัดของชาวปาเลสไตน์ได้ปลุกประชาชาติอิสลามทั่วทุกมุมโลกให้ตื่นขึ้น และร่วมลุกฮือ ประท้วง ต่อต้านอิสราเอลมากขึ้น เกิดการประท้วงสถานทูตอิสราเอลขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ประชาคมโลกทั้งที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมต่างรณรงค์บอยคอตสินค้าอเมริกาและแบรนด์ที่สนับสนุนอิสราเอล
ในประเทศไทย “กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ” (ปัจจุบันคือ มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ) ซึ่งเคยจัดกิจกรรมเรียกร้องสิทธิให้พี่น้องมุสลิมทั่วโลกมาก่อนแล้วตั้งแต่ช่วงที่สหรัฐบุกอิรัก ก็ได้จัดการชุมนุมประท้วงขึ้นในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2552 (หรือ ค.ศ.2009) ที่หน้าสถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย
หลังเหตุการณ์ถล่มกาซ่าครั้งนี้ (ปี ค.ศ.2009) ยังมีการถล่มครั้งใหญ่อีกครั้งในปี ค.ศ.2014 ซึ่งเช่นเคย อิสราเอลอ้างว่าเป็นโจมตีกลุ่มติดอาวุธในเขตกาซ่า (ซึ่งก็คือ กองพลน้อยอัลก็อซซามของกลุ่มฮามาส รัฐบาลโดยชอบธรรมของปาเลสไตน์) แต่ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนใหญ่กลับเป็นประชาชน ซึ่งมีทั้งเด็ก สตรี และคนชรา
จนถึงวันนี้ปี ค.ศ.2018 ยิวไซออนิสต์-อิสราเอล ก็ยังไม่หยุดรุกรานและคุกคามผู้อื่น พวกเขามองตัวเองว่าเป็นชนชาติที่ดีเลิศ และมองผู้อื่นโดยเฉพาะมุสลิมว่าไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งพวกเขาจะแย้ง แกล้ง หรือทำอะไรและยังไงกับพวกเขาก็ได้ โดยไม่สนใจเรื่องมนุษยธรรมแม้แต่น้อย
لَتَجِدَنَّ أَشَدَّ النَّاسِ عَدَاوَةً لِّلَّذِينَ آمَنُوا الْيَهُودَ
แน่นอนเจ้าจะพบว่า หมู่ชนที่เป็นศัตรูที่รุนแรงที่สุดแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้นคือ ชาวยิว (อัลมาอิดะฮฺ 5 : 82)
ตราบใดที่ยิวไซออนิสต์ยังมีอิสระที่จะทำอะไรตามใจชอบ พวกเขาก็จะยังคงรุกรานแผ่นดินปาเลสไตน์ต่อไป ความสูญเสียและความขัดแย้งก็จะไม่จบสิ้น ซึ่งนั่นไม่ได้เกิดจากชาวปาเลสไตน์ แต่เป็นความต้องการและฝีมือของชาวยิวอย่างชัดเจน ตามที่เราได้นำเสนอไปแล้วใน EP ก่อนหน้านี้
ส่วนชาวปาเลสไตน์นั้นพวกเขาพร้อมที่จะปักหลักสู้อยู่ตรงนั้น ไม่ยอมก้มหัว และไม่ถอยไปไหน เพราะที่นั่นคือบ้านของพวกเขา เป็นสิทธิโดยชอบธรรของพวกเขา และเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาต้องปกป้องด้วยชีวิต ส่วนพวกเราที่ประเทศไทยนี้ ขอให้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนและช่วยเหลือพี่น้องชาวปาเลสไตน์ให้ได้มากที่สุด และไม่ลืมที่จะขอดุอาอ์ให้อัลลอฮฺปกป้องคุ้มครองพี่น้องของเรา ขอพระองค์ช่วยเสริมกำลังแก่พวกเขา และให้พวกเขาได้รับชัยชนะโดยเร็ว
มุสลิมถูกสอนมิให้โกหก ผิดสัญญา และทำร้ายใคร แต่ชาวยิวโกหก ปกปิดความจริง ทำล้ายสัญญา และทำร้ายผู้อื่นมาโดยตลอด วันนี้เราอาจถูกข่มเหงรังแก แต่มาถึงแน่ วันที่ท่านนบีมุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้แจ้งข่าวเอาไว้
วันกิยามะฮฺจะยังไม่เกิดขึ้น จนกว่าชาวมุสลิมจะต่อสู้กับชาวยิว แล้วมุสลิมก็สังหารยิว จนพวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินและต้นไม้ แล้วก้อนหินหรือต้นไม้นั้นก็พูดว่า “โอ้มุสลิม โอ้บ่าวของอัลลอฮฺ นี่ไงยิว อยู่ด้านหลังฉัน มาสิ แล้วสังหารเขา” ยกเว้นฆ็อรก็อด (ต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีหนาม ชาวยิวรู้จักดี) แท้จริงฆ็อรก็อดนั้นเป็นหนึ่งในต้นไม้ของชาวยิว (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม)
หะดีษบทนี้เกิดจริงแน่ในวันข้างหน้า ท่านนบีไม่เคยโกหก สุดท้าย…ชัยชนะจะเป็นของประชาชาติอิสลาม